เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ม.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันมีปัญหา เวลานี้ ตอนนี้มันจะพิมพ์หนังสือ ถ้าเราพิมพ์เอง เรามีเครื่องมือ เราก็ทำได้ ทีนี้ต้องให้โยมทำใช่ไหม ทีนี้โยมทำ เขาจะถามว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นพญามารได้อย่างไร

มันเป็นพญามารนะ เราเริ่มต้น เรากำหนดพุทโธๆ กัน เรากำหนดพุทโธกันก่อน ถ้าเรากำหนดพุทโธ เราต้องหาหลักฐานให้ได้ก่อน เหมือนต้นกล้วย ต้นกล้วยมันไม่มีแก่น แต่ต้นไม้ที่มีแก่นมันจะมีแก่นมาก แล้วมันปลูกยากมาก แต่เวลาเป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลเลย ต้นกล้วยมันก็ออกผลให้เรากินได้ทั้งนั้นน่ะ แล้วต้นกล้วยมันมีประโยชน์อะไร เราตัดต้นกล้วย เขาได้ใช้ประโยชน์ทางโลกได้นิดหน่อย แต่ถ้าเป็นไม้แก่นนะ มันจะเป็นประโยชน์มาก

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเขาบอกว่าพุทโธมันเป็นพญามาร แล้วเรากำหนดพุทโธกันเพื่ออะไร

เริ่มต้นเราต้องกำหนดพุทโธกันก่อน พุทโธนี่เป็นพุทธานุสติ เป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เป็นคำบริกรรม กำหนดพุทโธๆๆ เพื่ออาศัยไง เพื่ออาศัยคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ หมายถึงว่า เรากำหนดพุทโธเข้าถึงใจของเราให้ได้ ถ้าเข้าถึงใจเรา ใจเราเริ่มสงบขึ้นมา พอสงบขึ้นมา มันเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเป็นเปลือกเข้ามา พอเป็นเปลือกเข้ามา เราวิปัสสนาไป มันจะตัดขันธ์ออกไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ตัดขันธ์ออกไป ตัดขันธ์ชั้นแรกออกไป มันจะเป็นพระโสดาบัน ขั้นที่สองเป็นสกิทาคามี ขั้นที่สามนี้เป็นพระอนาคามี แล้วมันถึงเหลือแต่จิตล้วนๆ ไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะเป็นพญามารตรงนี้

ถ้ามันไม่เป็นพญามาร ถ้าเป็นผู้รู้ พุทธะนี่ ถ้ามันเป็นปัญญาทั้งหมด มันเป็นประโยชน์ทั้งหมด มันต้องรู้ตัวมันเองสิ ทำไมหลวงปู่บัวไปหาหลวงตา เจอกันที่วัดป่าแก้วชุมพล อ้าว! เวลาเจอเพื่อเป็นประโยชน์ ธมฺมสากจฺฉา พูดมาเลย พอพูดมา พูดมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ถึงที่สุด พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันไม่ตื่น แล้วมันไม่เบิกบาน มันถึงติดไง เพราะมันติด เพราะไม่เห็นผู้รู้

ผู้รู้ เห็นไหม เวลาโลกนี้เป็นความว่าง ทุกอย่างมันว่างหมดเลย ว่างเราก็ส่งออกไป เรารู้ความว่าง แล้วใครเป็นคนรู้นี่? หลับ หลับไปกับความว่างนั่นน่ะ โมฆราชไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนี้ว่างหมดเลย พิจารณาโลกนี้เป็นความว่างหมดเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ถ้าเธอพิจารณาภายนอกเป็นความว่าง เธอต้องย้อนกลับมาผู้รู้ ผู้รู้ที่รู้ความว่างนั้น”

ถ้าย้อนกลับมานี้พุทโธผู้รู้ความว่างนั้น มันก็จะเป็นผู้ตื่น ถ้าไม่กลับมาตรงที่พุทโธนั้น มันก็จะเป็นผู้หลับ นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นตัวพญามารเลย แต่มันมองไม่เห็นไง มันไม่เห็นว่ามันเบิกบานไหม เวลาหลวงตาว่าเวลาจิตมันสว่างหมด เพ่งไปในภูเขานี่ทะลุหมดเลย ทะลุภูเขาทุกอย่างไป แล้วก็หลับไง หลับอยู่ตรงนั้น ว่านี่มันสว่างไสว “จิตนี้ทำไมมันมหัศจรรย์แท้ จิตนี้มันกำหนดไปในภูเขา ภูเขาทะลุหมดเลย ทุกอย่างทะลุหมดเลย” เห็นไหม นี่ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นคือตัวพญามารไง

สิ่งที่พญามารนะ เราจะไม่เห็นพญามารหรอก เราพยายามต่อสู้กัน เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันจะย้อนกลับขึ้นไปๆ สิ่งที่เริ่มต้น พุทโธต้องกอดไว้ให้แน่น กอดไว้ให้แน่นก่อน เรายังหาไม่ได้ด้วย เริ่มต้น แล้วทำไมว่าในพระไตรปิฎกบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเป็นผู้เบิกบาน

มันเป็นผู้เบิกบาน ดูสิ อุทธัจจกุกกุจจะนี้เป็นนิวรณธรรม เวลาเราคิดฟุ้งซ่านนี่เป็นอุทธัจจกุกกุจจะ นิวรณธรรม แต่เวลาพระอนาคามี อุทธัจจะ ความเพลินในงานนะ ความเพลินในงาน ในการที่จิตออกวิปัสสนามากๆ นั่นน่ะมันเป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง แต่ละเอียดอ่อนมาก

นี้ก็เหมือนกันนะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันก็เหมือนกับความว่างนี่ เราว่าง เวลาเราว่าง เราชาวพุทธกัน เราอ่านพระไตรปิฎกด้วยกิเลสนะ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำความว่าง เราก็ว่าง จิตใจเราก็ว่าง เราก็ทำความว่างแล้ว...ว่างไม่มีเหตุไม่มีผล นี่ความว่างอันนี้อันหนึ่ง ความว่างของผู้ที่พ้นกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนก็เป็นความว่างอันหนึ่ง ความว่างที่มีผู้รู้ ผู้รู้นี้ปล่อยวางสังโยชน์ขึ้นมา มันก็จะว่าง ว่างโดยว่าเรามีผู้รู้ผู้เข้าใจ จะมีจิตนี้เป็นผู้วิปัสสนา จิตนี้จะปล่อยกิเลสมาเป็นชั้นเป็นตอน แล้วจิตนี้จะรับรู้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จะมีรับรู้หมดตลอดไปเลย ถึงที่สุดแล้วต้องทำลายตัวมันเอง ต้องทำลายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่เป็นพญามารนี้ มันเป็นพญามารเพราะเราจะไม่เห็นตัวมัน แล้วมันจะตื่น มันจะเบิกบานมาก

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส”

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี้คือตัวมันเอง จะต้องจับตัวมันเองให้ได้ แล้วจะต้องทำลายกิเลสให้ได้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นปัจจยาการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นตามความเป็นจริงแล้วแยกแยะได้ สาวกะสาวกผู้ที่ได้ยินได้ฟัง เวลาเห็นอวิชชามันจะเกิดปัจจยาการ คือเกิดหนึ่งเดียว เกิดหนเดียว แต่อาการศึกษา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันจะรอบไปอย่างนั้น เราจะเห็นสภาวะแบบนั้น

เวลาที่ว่าเราอธิบายเป็นทฤษฎีกันว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันจะต่อเนื่องกันมาเป็นสาย เป็นสาย อันนั้นเป็นความเห็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เหมือนกันเพราะว่าเวลามันว่าง มันปล่อยวาง อันนี้เป็นวิมุตติ วิมุตตินี่พูดถึงไม่ได้ คาดถึงไม่ได้ แต่ต้องใช้สมมุติออกมาไง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พูดกับใคร ถ้าพูดกับเด็ก พูดกับเด็กก็ต้องว่าสิ่งนี้มันเป็นความสุขมาก พูดกับเด็ก แต่ถ้าไปพูดกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะบอกว่าติด เพราะว่าถ้ามีผู้รู้ มีตัวตน เห็นไหม

“โมฆราช เธอต้องถอนอัตตานุทิฏฐิที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในความว่างนั้นจะต้องทำลายอัตตานุทิฏฐิตัวนี้ให้ได้ ถ้าทำลายตัวนี้ให้ได้ มันถึงจะทำลายฐานทั้งหมดของมัน แต่เวลาสื่อความหมายกับคนที่เขาไม่รู้ก็ต้องบอกว่าผู้เบิกบาน มันเป็นความว่าง

ความว่างอันหนึ่งคือความว่างชำระกิเลสแล้ว มีผู้รับรู้ขึ้นมา มันเป็นอกุปปะชั้นหยาบๆ ขึ้นไป จนถึงที่สุดต้องทำลายตัวที่รับรู้เขาทั้งหมด ต้องทำลายตัวนั้นให้หมด แล้วมันทำลายยากมาก มันถึงว่า มีดเชือดโคกับมีดเชือดไก่ มีดเชือดไก่นะ ธรรมะส่วนหยาบๆ นี่เราต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ขึ้นไป มันก็เป็นว่าเป็นพุทโธเหมือนกัน เพราะสมมุติมีเท่านี้ไง

ใบไม้ในกำมือ ในพระไตรปิฎก กับใบไม้ในป่า จะเอาใบไม้ในกำมือ ในพระไตรปิฎกมาว่าใบไม้ในป่านั้นเป็นความผิดพลาดจากพระไตรปิฎก เป็นไปไม่ได้ แต่นี้ว่ามันสื่อกันไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยสมมุติ ถ้าอาศัยสมมุติมันก็ต้องพูดว่า ผู้เบิกบานเป็นความว่างเหมือนกัน แต่ความว่างมันมีหลายระดับนะ ความว่างแบบฌานโลกีย์ ในอจินไตย ๔ อย่าง ในอจินไตย ๔ อย่างนี้เป็นความว่าง เป็นฌาน ฌานอันนั้นเป็นอจินไตยอยู่แล้ว ความว่าง ว่างมหาศาล ว่างร้อยแปดเลย ว่างจนเป็นอจินไตย จนคาดหมายกันไม่ได้

แล้วเวลาความว่างของพระโสดาบัน ความว่างของพระสกิทาคามี อนาคามี มันเป็นความว่างที่มีผู้รับรู้ มันสื่อได้ไง มันเป็นความหมายได้ไง มันถึงว่ามันเป็นความละเอียดอ่อน มันเป็นสิ่งที่ว่าวิถีแห่งพุทธะ มันต้องชี้ไปให้ถึงที่สุดไง เพราะอย่างนี้มันติดกันมาก สิ่งที่ติดนะ คนถ้าไม่เคยเห็น มันก็จะงงในสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าคนอ่าน คนยังไม่ถึง คนยังไม่ขึ้นตรงนั้น มันยังไม่จำเป็น ถึงบอกว่า มันเป็นมีดเชือดโค มันไม่จำเป็นจะต้องเอามาเผยแผ่กันหรอก เพราะว่าพูดขนาดไหนก็ไม่มีความสามารถรู้ได้ พูดขนาดไหนก็ไม่มีความสามารถจะคาดหมายได้ เพราะสิ่งที่คาดหมายนี้เป็นธรรมะด้นเดาทั้งหมด

ถ้าธรรมะเป็นตามความเป็นจริงต้องวางไว้อย่างนั้น ตัดออกไม่ได้ ถ้าตัดออกมันก็เหมือนกับว่าให้มันด้วนไป ตัดยอดมันออกไป มันก็เหลือแต่ฐาน เหลือฐานเท่านั้น และไปถึงตรงนั้นก็จะไปติดตรงนั้นไง

ใครจะไม่รู้ มันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนา ใครไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ไม่ถึง แต่ถ้าคนรู้คนถึงนะ ดูอย่างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ถึงที่สุด วางไว้ถึงที่สุด เพราอะไร เพราะสาวกะ เอตทัคคะแต่ละทาง ถ้าเอตทัคคะแต่ละทางขึ้นไปเห็นสภาวะแบบนั้น ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมไม่เห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมไว้ทั้งหมด แต่ใครจะขึ้นไปถึงหรือไม่ถึงนั้นเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล

ถึงว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี้เป็นพญามาร เป็นพญามาร จะต้องทำลายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ต้องข้ามพ้นกิเลสเท่านั้น ถึงตัดออกไม่ได้ ต้องไว้อย่างนั้นเลยตัดออกไม่ได้ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ช่างมัน แล้วมันจะไม่มีในพระไตรปิฎกก็เรื่องของคนที่ไม่เห็น ช่างมัน เพราะว่าสิ่งอย่างนี้มันเหมือนใบไม้ในป่า ใบไม้ในกำมือต้องถึงที่สุด

ถ้าไม่ถึงที่สุด เวลาครูบาอาจารย์พูดมันติด มันติดนะ เวลาว่างหมดๆ ถ้าพูดไม่ถึงนะ “อ้าว! ว่ามาสิ”

“แค่นี้ล่ะค่ะ หมดแล้ว แค่นี้หมดแล้ว”

ถ้าหมดแล้ว ก็ไอ้ผู้รู้นี้มันหลับใหล มันอยู่ในความว่างอันนั้น มันติดในความว่างอันนั้น แล้วมันจับอันนั้นไม่ได้

ในเรื่องของโลกนะ สิ่งที่เป็นมีดเชือดโคมันต้องใหญ่ มันต้องหยาบ แต่นี้มันเป็นหยาบ มีดเชือดไก่นี้มันต้องเล็กใช่ไหม แต่ในทางนามธรรม เริ่มต้นครั้งแรกปัญญาอย่างหยาบๆ สมาธิ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ สติ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มรรคสามารถรวมตัวได้ สมาธิ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ สติ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มรรคอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มรรคอย่างละเอียดสุดนี้มันเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันเป็นปัญญาญาณ ญาณอันละเอียด เป็นเหมือนน้ำซับนะ มันเป็นความคิดไม่ได้ไง มันเป็นขันธ์ไม่ได้ ถ้าเป็นขันธ์ ขันธ์กับจิต ระหว่างขันธ์กับจิตมันสัมผัสกัน มันสัมพันธ์กัน

แต่เวลาตัวผู้รู้นี่มันเป็นตัวมันเอง มันไม่สัมผัสไม่สัมพันธ์กัน เหมือนพลังงานมันต้องอาศัยสื่อ สื่อนี้นำพลังงานนี้ไป พลังงานนี้จะไปตามสื่อต่างๆ ตามสิ่งที่สื่อนี้ดึงมันมา อย่างเช่นไฟฟ้าไปตามกระแสของไฟฟ้า แต่เวลาถึงตัวไฟฟ้าเองที่ไม่มีสื่อตัวนั้น คือตัวของใจ ถ้าตัวของใจมันแสดงพลังงานของมันออกมาอย่างไร มันจะเห็นเป็นปัญญาของมันออกมาได้อย่างไร มันถึงว่าเหมือนกับว่าความน้ำซับน้ำซึม ซึมไปในจิตดวงนั้น มันถึงเป็นปัญญาญาณ มันถึงว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันนั้นมันจะเป็นปัญญาญาณอันละเอียด แล้วมันจะซับตัวมันเอง มันจะทำลายตัวมันเอง ปัญญามันถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง

ปัญญาญาณอันนี้ สติ สมาธิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ อันนี้ละเอียดอ่อนมาก มันไม่เหมือนทางโลกสิ่งที่ว่ามีคุณค่ามีความหมาย มันจะเห็นมีคุณค่า อันนี้มันเป็นนามธรรม มันลึกเข้าไปไง มันลึกเข้าไปสภาวะแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่จะว่าธรรมะนี้ฟากตายนะ เอาตายนี้เข้าแลก ส่วนถ้าเอาตายเข้าแลกแล้วจะถึงไม่ถึง มันเป็นส่วนหนึ่ง

ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บเราก็บอกว่า ถ้าอันนั้นเป็นพญามาร เราสงสาร...ไม่อยากพูดทั่วไป เพราะเด็กไง เด็กผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ ถ้าเราบอกพญามาร เราจะไปแสวงหาทำไม เราจะกำหนดพุทโธทำไม

เราต้องกำหนดพุทโธก่อนสิ แต่เวลาไปเจอตัวมัน ดูอย่างเราใส่เสื้อผ้า เสื้อผ้าเราต้องสลัดออก เราต้องเปลี่ยนออก เราเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน แล้วเราเอาอะไรเปลี่ยนล่ะ? ก็ตัวเราเอง เราเอามือเรานี่ปลดเสื้อผ้าเราออก นี่ก็เหมือนกัน เราเอาปัญญาญาณปลดกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอน ต้องอาศัยพุทโธไปก่อน แต่อาศัยพุทโธไปก่อน เวลาเราเปลื้องผ้าหมด แล้วมันว่างไหม บุคคลในเรือนว่างไง เรือนว่างที่มีคนอยู่ เวลามีเรือน บ้านนี้ว่างหมดเลย เหมือนกัน เราเปลื้องหมดเลย แล้วใครอยู่กับเรานี้ล่ะ ตัวนี้มันถึงต้องทำลายในความว่างนั้น ความว่างมันเป็นสภาวะแบบนั้น ต้องทำลายมัน ต้องเห็นมัน แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งนั้นวางไว้ก่อน แต่ไม่ให้ตัดไง

เหมือนกับที่ว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญานี่คาดหมายได้ เรียนได้ สุตตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียน ใครก็เล่าเรียนได้ จินตมยปัญญา วิทยาศาสตร์ นักประพันธ์ทำได้ทั้งหมดเลย แต่ภาวนามยปัญญาไม่เคยเห็น อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง ถ้ามันเห็นส่วนหนึ่ง มันเข้ามาทำลายตัวมันเอง อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นความละเอียดอ่อนจากภายใน ผู้เห็นเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ มันถึงจะเร็วมาก

คนมันจะเข้าใจได้น้อย เรายอมรับ แต่ถ้าจะตัดออก มันเสียดายมาก เสียดายมาก ถ้าใครจะโต้แย้งให้เขาโต้แย้งของเขาไป จะว่าโง่บ้าเซ่อก็ให้มันโง่บ้าเซ่อไป โง่บ้าเซ่อของโลกเขา โง่บ้าเซ่อของสมมุติเขา แต่ครูบาอาจารย์ที่เขาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเขาติดอยู่ อันนี้จะเป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์มาก

ดูสิ ดูอย่างที่ว่าหลวงตาว่าไว้ เวลาว่าอวิชชาเป็นยักษ์เป็นมาร คาดหมายว่าเป็นยักษ์เป็นมาร พอเข้าไปเจอมัน มันสวยแบบนางสาวจักรวาล มันสวยมาก มันแสงสว่างมาก มันเบิกบานมาก มันอ้อยอิ่งมาก แล้วทุกคนต้องไปสยบอยู่ตรงนั้นไง ทุกคนจะทำลายตรงนี้ไม่ได้ไง แล้วอย่างนี้แล้วจะไปตัดออก มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงคงไว้สภาวะแบบนั้น เอวัง